สำหรับใครที่ยังไม่มีความรู้ในการจัดสเปกคอมมากนัก ในครั้งนี้ผมก็จะขอนำบทความจากคอลัมน์ Cover Story จาก Comtoday ฉบับที่ 515 มา Rewrite ใหม่อีกครั้ง โดยเป็นเรื่องเกี่ยวกับการจัดสเปกคอมฯ ซึ่งผมได้พยายามเขียนให้คนทั่วไป อ่านเข้าใจง่ายมากที่สุด และเป็นเร็วที่สุด
ใกล้สิ้นปีนี้ หลาย ๆ คน คงมีแผนจะนำเงินที่เก็บมานาน เตรียมซื้อของขวัญชิ้นใหญ่ฉลองส่งท้ายปี 2016 นี้ และผมก็เชื่อว่า หนึ่งในนั้นจะต้องมี “คอมพ ฯ ตัวใหม่” ด้วยแน่ ๆ แต่สำหรับคนที่อยากประกอบคอมพ์เอง ก็ต้องผ่านด่านแรกก่อนคือ “การจัดสเปก” ส่วนนี้สำคัญยิ่งกว่าเงินในกระเป๋าเสียอีก จะได้คอมพ์ดีหรือไม่ดีก็ขึ้นอยู่กับส่วนนี้สถานเดียว บางคนที่ยังไม่มีความรู้ในด้านนี้มากนัก ครั้นจะไปขอให้ผู้อื่นช่วยจัดสเปก ก็อาจได้สเปกไม่ตรงตามที่ต้องการจริง ๆ จนสุดท้ายต้องขาย แต่จะดีแค่ไหน หากเราสามารถจัดสเปกคอมพ์ด้วยตัวเองได้ และตอนนี้เลย ดังนั้นในที่นี้ ผมจะขอเสนอเทคนิคการจัดสเปกหรือเลือกซื้อคอมพ์ประกอบสำหรับมือใหม่ ในรูปแบบที่เข้าใจง่ายที่สุด และอาจจัดสเปกเองเป็น ภายในหนึ่งชั่วโมงกันเลยครับ
ก่อนอื่น มาทราบความแตกต่างระหว่างคอมพ์ประกอบกับคอมพ์ชุดกันก่อนครับ คอมพ์ชุดก็คือคอมพิวเตอร์สำเร็จรูปพร้อมใช้งาน ซึ่งเรามักจะเห็นในห้าง แถวหมวดเครื่องใช้ไฟฟ้าทั่ว ๆ ไป ข้อดีคือ เสียบปลั๊กแล้วใช้งานได้เลย มีระบบปฏิบัติการกับโปรแกรมให้พร้อม มีประกันให้โดยเฉพาะ เวลาเสียก็ยกไปเครมทั้งเครื่องได้ แต่ข้อเสียคือ ส่วนมากจะใช้ PSU คุณภาพต่ำ สเปกที่ไม่คุ้มราคา ซึ่งหากเทียบกับคอมพ์ประกอบที่ผ่านการจัดสเปกมาแล้ว กลับด้อยกว่าในเรื่องสเปก แม้จะมีราคาพอ ๆ กันก็ตาม
เสน่ห์อีกอย่างหนี่งของคอมพ์ประกอบคือ เราสามารถดีไซน์ลักษณะคอมพิวเตอร์ได้ตามใจชอบ เรียกได้ว่าเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่งก็ว่าได้ เราอยากให้มันมีรูปทรงแบบไหน มีสีอะไร มีอุปกรณ์ตกแต่งอย่างไร ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับการเลือกของเราล้วน ๆ ตราบใดที่เราจัดเองเป็นโดยไม่ต้องพึ่งใคร
ขั้นแรก หากอยากจัดสเปกเองเป็น สิ่งที่ต้องมีก่อนคือ “ความต้องการ” ถามตัวเราก่อนว่าเราอยากได้คอมพ์แบบไหน ใช้แค่พิมพ์งานเอกสาร หรือพิมพ์งานสามมิติกับตัดต่อวิดีโอ 4K ใช้เล่นเกมขำ ๆ หรือเล่นเกม (กินสเปก) ระดับตำนาน อย่างพวก GTA 5, Fallout 4 และ The Witcher 3 เป็นต้น ถัดมา สิ่งที่ต้องมีอย่างที่สองคือ งบประมาณ แน่นอนครับ อยากได้ของต้องมีตังค์ ซึ่งตามปกติงบขั้นต่ำของคอมพ์ประกอบจะอยู่ที่ 10,000 บาท หากเป็นสเปกในงบนี้ แม้จะได้คอมพ์ที่ไม่แรงมากนัก แต่ก็สามารถนำไปต่อยอดได้หลายทาง ซึ่งเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นคอมพ์ดีก็เล่นเกมดี ๆ เหล่านี้ได้
ต่อจากนี้คือเทคนิคการเลือกซื้อหรือการจัดสเปก ที่เขียนขึ้นสำหรับคนที่ไม่มีความรู้ในเรื่องนี้เลย ดังนั้นผมจะเขียนในลักษณะเป็นภาษาพูดที่เข้าใจง่ายที่สุด ไม่อธิบายรายละเอียดเชิงเทคนิคมากนัก รวมทั้งพยายามนำเสนอพวก “ชิ้นส่วนระดับสูง” ด้วยเช่นกัน รูปแบบของเทคนิคการจัดสเปก จะเป็นการไล่ให้ทำความรู้จักกับชิ้นส่วนพื้นฐานของคอมพ์พิวเตอร์ทั้ง 8 ชิ้นก่อน โดยมีทั้งหมดดังนี้
คอมพ์เราจะแรงแค่ไหนนั้น ขึ้นอยู่กับสมอง หรือ CPU ที่เราเลือก ปัจจุบัน CPU มีผู้ผลิตรายใหญ่สองค่ายคือ Intel และ AMD แต่เดี๋ยวนี้คนนิยมไปเล่นของ Intel ซะส่วนใหญ่ เนื่องจากการมาของ Gen 6 หรือ “Skylake” ที่มาแทนตัว Haswell Gen 4 รุ่นก่อน ทำให้คนหันไปเล่น CPU Intel กันมากทีเดียว เพราะเพิ่งมาใหม่ได้ไม่นาน ดังนั้นในหัวข้อนี้ ผมจะเจาะที่ตัว Intel เป็นหลัก โดยคัดเอารุ่นที่นิยมใช้กัน ณ ตอนนี้ มานำเสนออยู่ด้วยกัน 4 ตัว ส่วนตัวไหนเหมาะกับเรา ลองเลือกดูเลยครับ
Intel Skylake Pentium G4400
Pentium ในที่นี้ไม่ใช่ตัว Pentium ll, lll สมัยยุคบุกเบิกนะครับ แต่มันคือ Pentium แห่ง Skylake Gen 6 รุ่นใหม่ล่าสุด แม้จะเป็นตัวล่างสุดของ Intel แต่ก็มีจุดเด่นตรงที่มีประสิทธิภาพล้นเหลือ ในราคาที่ถูกมาก เหมาะสำหรับใช้งานทั่วไป และพอเล่นเกมได้ (แม้ไม่มีการ์ดจอ) หากใครมีงบซื้อคอมพ์ประกอบประมาณ 10,000 บาท จัดว่าเป็นตัวเลือกที่ดีเลย หรือเอาไว้ใช้แก้ขัดก่อน แล้วค่อยอัพเป็นรุ่นที่สูงกว่านี้ในภายหลังก็ยังได้
Intel Skylake Core i3
ตัวนี้จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าตัว Pentium พอสมควร สำหรับใครที่อยากได้คอมพ์ใช้งานทั่วไป แต่ซีเรียสเรื่องกราฟิกกับเล่นเกมขึ้นมาหน่อย ก็แนะนำรุ่นนี้ ซึ่งจะแบ่งเป็น 3 รุ่นย่อย อาทิ 6100, 6300, 6320 โดยเรียงตามลำดับความแรงจากน้อยไปมาก แต่อย่างไรก็ตาม รุ่น Skylake i3 สำหรับผมแนะนำว่ากัดฟันไปเล่นตัว Skylake i5 เลยครับ ถ้าตอนนี้ยังมีงบไม่มาก ให้ซื้อตัว Pentium มาใช้ก่อนจะดีกว่า เพราะ Skylake i3 แม้จะดี แต่ก็มีราคาแพงพอสมควร
Intel Skylake Core i5
เป็น CPU ที่นิยมใช้มากที่สุด ถือเป็นรุ่นในใจของเหล่าเกมเมอร์เกือบทุกคน ด้วยความแรงที่เหลือเฟือ กับราคาพอรับได้ โดยหากให้เทียบกับตัว Pentium และตัว i3 ก่อนหน้า ตัวนี้จะแรงกว่า นั้นก็เพราะ CPU ตระกูล Intel หากเป็นรุ่น Core i5 ขึ้นไป จะมีเทคโนโลยีพิเศษที่เรียกว่า Hyper Threading (HT) ระบบจำลองเเกนคอร์ CPU ให้เป็น 2 เท่าของเเกนคอร์ที่มีอยู่จริง (คอร์เทียม) จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของ CPU ได้สูงขึ้นราว ๆ 20% (หรือมากกว่านั้น) สำหรับเทคโนโลยีนี้จะไม่มีอยู่ใน Pentium และ i3 จึงทำให้ CPU Intel Skylake i5 จัดว่าเป็น CPU ระดับสูงแบบข้ามขั้นไปไกล ดังนั้นใครที่มีความต้องการคอมพ์ประกอบเพื่อเอามาเล่นเกมอย่างเดียว ให้ซื้อ i5 มาใช้เลย และแนะว่าใช้ตัว i5 6400 ที่เป็นรุ่นล่างสุดของ i5 Skylake ก็เพียงพอแล้วครับ
Intel Skylake Core i7
ตัว (เกือบ) TOP สุด ของ CPU ตระกูล Intel ที่ทุกคนใฝ่ฝัน ที่จัดว่าเป็น CPU ที่มีประสิทธิภาพสูงระดับ Hi-End เหมาะสำหรับเล่นเกมและทำงานด้านกราฟิกโหด ๆ อย่างงาน 3D ตัดต่อวิดีโอ แต่งภาพ เรียกได้ว่าเหมาะกับทุกงาน แต่ก็ต้องแลกกับราคาค่าตัวที่สูงเอาเรื่อง แค่ราคาเริ่มต้นก็เลยหลักหมื่นไปแล้ว ทั้งนี้สำหรับรุ่น Skylake i7 จะมีแบ่งเพียงสองรุ่นเท่านั้นคือ 6700 และ 6700K ตัว K หมายถึง “รุ่นปลดล็อกตัวคูณ” (Unlock Multiple) เอาไว้สำหรับทำ Overclock หรือการเร่งความเร็ว CPU เพิ่มขึ้นจากเดิมโดยเฉพาะ ถ้าถามว่ารุ่นไม่มีรหัส K ทำ Overclock ได้ไหม ? ทำได้ แต่จะได้ไม่มาก หรือแทบจะน้อยนิดเลย สำหรับ i5 เองก็มีรุ่นรหัส K เหมือนกัน แต่ราคาก็จะอยู่ที่ 9,000 กว่าบาท เพิ่มอีกนิดสอย i7 ได้แล้ว สุดท้ายนี้เรื่องสำคัญที่ควรจำเลยคือ ตัว i5 และ i7 ของ Skylake จะไม่มีพัดลมระบายความร้อนแถมมาให้เหมือนรุ่น Haswell เราจะต้องไปหาซื้อใหม่เอาเอง…
เกร็ดน่ารู้
แม้ Skylake จะเป็น CPU รุ่นใหม่สุดตอนนี้ แต่ปัจจุบันยังมีราคาที่สูงพอสมควร ซึ่งหากเทียบกับรุ่น Haswell ที่แม้จะเป็น Gen 4 รุ่นเก่าถึง 2 ขั้นก็ตาม แต่ประสิทธิภาพกลับไม่ห่างกันเลย ในขณะที่ราคาถูกกว่ามาก และยังใช้ได้อีกยาว ดังนั้นลองซื้อตัว Haswell ไปก่อนก็ไม่เสียหายครับ เพราะเราจะได้ส่วนต่างของงบที่มีไปจัดอย่างอื่นได้คุ้มกว่า แต่หากใครอยากได้ของใหม่ก็ไม่ว่ากัน
Intel i7–5820K, i7–5930K, i7–5960X (ชิ้นส่วนระดับสูง)
พวกนี้คือรุ่น TOP สุดของ Intel อย่างแท้จริง แม้จะยังเป็น Haswell แต่ก็เป็น “Haswell-E” รุ่นที่ใช้ Socket LGA 2011 (รุ่นทั่วไปจะใช้ LGA 1150,1151) เป็น Socket พิเศษที่ใช้รองรับสุดยอด CPU ของ Intel โดยเฉพาะ ส่วนประสิทธิภาพตอนนี้ให้รู้แค่ว่ามันคือ CPU ที่ผู้ใช้ระดับทั่วไปอย่างเรา ๆ ยังไม่ควรไปแตะต้องจะดีกว่า เพราะมันเหมาะสำหรับผู้ที่ช่ำชองและเชี่ยวชาญด้านคอมพ์ (กับมีทุนหนามาก ๆ) ถึงจะใช้มันได้
แผงวงจรอิเล็กทรอนิกส์ที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางของชิ้นส่วนอื่น ๆ ทั้งหมดในคอมพ์ประกอบ หรือแม้กระทั่งคอมพ์ชุดและโน้ตบุ๊กเอง หากเปรียบเทียบกับ CPU ที่เป็นสมองแล้ว เมนบอร์ดก็คือ “กระดูก” ก็ว่าได้ (อวัยวะที่ประกอบขึ้นเป็นโครงร่างภายใน) กลับมาที่เรื่องการเลือกซื้อ สำหรับตัวเมนบอร์ดเอง ก็จัดว่าต้องใช้ความรอบคอบในการซื้อไม่แพ้ CPU เลย เนื่องจากหากเลือกผิด เตรียมซื้อใหม่ หรือไม่ก็ขายทิ้งเลยครับ ดังนั้นเรามารู้จักพื้นฐานของการเลือกซื้อกันก่อน โดยแบ่งเป็น 2 ข้อที่ต้องจำให้ขึ้นใจ ดังนี้
ข้อแรก : ดู Socket ของ CPU ที่เราเลือกก่อนเป็นอันดับแรก
จากที่ได้พูดถึงเรื่อง “Socket” ตอนแนะนำ CPU ไป อาจมีคนสงสัยตัวเลข LGA 1150,1151 ว่ามันคืออะไร ตัวเลขนี้คือสิ่งที่เราต้องรู้ก่อนเป็นอย่างแรกเวลาเลือกซื้อคอมพ์ประกอบ เพราะมันคือตัวกำหนดเมนบอร์ดที่เราจะต้องใช้กันเลย หลังจากที่เราเลือก CPU ที่ต้องการได้แล้ว ก็ให้ดูที่กล่องว่า “มันใช้ Socket อะไร” สมมติหากมันระบุว่าใช้ LGA 1151 ก็ให้หาตัวเมนบอร์ดที่รองรับ Socket ดังกล่าว
ข้อสอง : ดูชิปเซตของเมนบอร์ด แล้วเลือกให้ตรงกับ Socket ของ CPU
ในตัวเมนบอร์ดเอง ก็จะมีแบ่งเกรดแบ่งระดับต่างกันไป ถ้าเป็นในตอนนี้ เราจะเห็นคำว่า H110M, H170, Z170 อยู่เต็มไปหมด เวลาไปเลือกซื้อ พวกนี้คือ เมนบอร์ดที่รองรับ Socket ของ CPU ตัวใหม่อย่าง Skylake นี้เอง แต่จากที่แนะนำไป หากใครอยากได้ตัว Haswell ที่มีราคาถูกกว่า แต่สเปกใกล้เคียงกันมาก ก็จะต้องหาตัวที่มีคำว่า H97, Z97 เพื่อให้ดูเข้าใจง่าย ผมจะแบ่งชนิดของทั้งเมนบอร์ดและ CPU เกือบทั้งหมดที่ใช้ร่วมกันไว้ดังนี้
จากตาราง สังเกตที่รายชื่อชิปเซต (Chipset) ชนิดต่าง ๆ พวกนี้เองคือตัวแบ่งระดับขั้นที่เราจะต้องไปปวดหัวอีกทีหนึ่งตอนเลือกซื้อ หลังจากนี้ก็ขึ้นอยู่กับงบและความต้องการแล้ว เพื่อให้ง่ายต่อการเลือก ผมจะแบ่งระดับของเมนบอร์ดไว้ 3 ระดับ ดังนี้
พวกที่ใช้ชิปเซต H81, B85 หรือ H110, B150 ส่วนมากจะเป็นเมนบอร์ดขนาดเล็ก และมีฟีเจอร์ไม่มากนัก แต่ที่แน่นอนคือ เมนบอร์ดพวกนี้จะมีราคาถูกมาก แต่ก็แลกกับ “พอร์ต” ในการเชื่อมต่อที่น้อยมาก เรียกได้ว่าหากใครไม่คิดจะอัพเกรดคอมพ์ในอนาคต ก็จะเลือกตัวนี้กัน เพราะมีราคาไม่แพง และเพียงพอต่อการใช้งานจริง ๆ สำหรับพอร์ตที่ว่าคือ ช่องเสียบเพิ่มเติมของเมนบอร์ด อาทิ พอร์ต USB, พอร์ต SATA, พอร์ต PCI, หรือช่องเสียบ RAM เป็นต้น พวกนี้คือส่วนสำคัญสำหรับการอัพเกรดในระดับต่อไป โดยถ้ายิ่งมีเยอะ ก็จะยิ่งอัพเกรดสเปกได้เยอะขึ้นตามไปด้วย
สำหรับเมนบอร์ดในรุ่นชิปเซต H97 หรือ H170 ถือเป็นรุ่นยอดนิยม เพราะเป็นรุ่นมาตรฐานที่มีทั้งฟีเจอร์และพอร์ตในการเชื่อมต่อที่เพียงพอ สามารถอัพเกรดสเปกในอนาคตได้ดี แม้ว่าอาจจะต้องเพิ่มงบขึ้นมาหน่อยก็ตาม หากใครอยากประกอบคอมพ์สักชุดจริง ๆ และอยากได้สเปกที่แรงพอเล่นเกมได้ทุกเกม หรือทำงานด้านกราฟิกในระดับเริ่มต้น แนะนำเมนบอร์ดในรุ่นนี้เลยครับ เพราะจะมีฟีเจอร์บางตัวที่รองรับการใช้งานตรงกับความต้องการของเราด้วย เช่น “ชิปเสียง” ตัวช่วยเพิ่มอรรถรสในการเล่นเกม หรือดูหนังฟังเพลงให้สมจริงยิ่งขึ้น “มีความทนทานสูง” ไว้รองรับการใช้งานที่ยาวนาน เหมาะสำหรับคนที่ต้องใช้คอมพ์เป็นเวลานาน ๆ เพื่อทำงานนั่นเอง นอกนั้นก็จะมีฟีเจอร์เฉพาะตัว ตามแต่ละแบรนด์นั้น ๆ ไป อย่าง AsRock, MSI, Asus และ Biostar ถ้าถามว่าตัวไหนดีที่สุด อันนี้ก็คงต้องไปศึกษากันเองครับ เนื่องจากมันดีพอ ๆ กัน อยู่ที่ความชอบของเราล้วน ๆ
ใครที่มีงบเหลือ ๆ ต้องการใช้งานแบบผู้เชี่ยวชาญจริง ๆ ก็ต้องเป็นเมนบอร์ดระดับ TOP อย่างชิปเซต Z97, Z170 หรือ X99 พวกนี้จะมีคุณสมบัติพิเศษคือ “รองรับการ Overclock โดยเฉพาะ” หรือก็คือการเร่งความเร็วเครื่องจากปกติที่โรงงานเซตไว้ให้ ซึ่งเมนบอร์ดรุ่นนี้จะมีความทนทานเป็นพิเศษ ทั้งยังมาพร้อมกับฟีเจอร์มากมาย และพอร์ตการเชื่อมต่อที่ให้มาครบถ้วนสมบูรณ์ เหมาะสำหรับใครที่คิดอยากอัพเกรดคอมพ์แบบเต็มสูบในอนาคตจริง ๆ
เกร็ดน่ารู้
เมนบอร์ดจะมีขนาดแตกต่างกันไป อาทิ XL-ATX, E-ATX, ATX (ขนาดมาตรฐาน), Micro-ATX, Mini-ITX โดยยิ่งมีขนาดใหญ่ ก็จะมีฟีเจอร์และพอร์ตการเชื่อมต่อเยอะตามไปด้วย แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเคสที่เราเลือกใช้ด้วย ว่ารองรับขนาดนั้น ๆ หรือไม่
เราเคยมีความเชื่อว่า แรงยิ่งเยอะ เครื่องยิ่งเร็ว แต่หารู้ไม่ว่าแรมเป็นเพียงผู้ช่วยของ CPU เท่านั้น ถ้า CPU ความเร็วน้อย แรมมีเยอะแค่ไหนก็ไม่ช่วย แต่ถึงอย่างนั้น หากมีแรมเยอะก็ยังถือเป็นเรื่องดีอยู่ เนื่องจากแรมจะช่วยให้เราสามารถเปิดใช้งานโปรแกรมได้หลาย ๆ ตัวพร้อมกัน โดยไม่ทำให้เครื่องอืดนั่นเอง หรือช่วยรองรับโปรแกรมบางตัวที่ต้องใช้แรมมาก ๆ เพื่อให้ใช้งานได้ไหลลื่น (Chrome เป็นต้น) กลับมาที่การเลือกซื้อ หากไปดูแรมที่ขายตอนนี้ จะเห็นได้ว่ามีแบบ DDR3 และ DDR4 ทำไมถึงต้องมี 2 รุ่น เพราะหลังการมาของ CPU Intel Skylake ทำให้มีผู้ผลิตเมนบอร์ดที่รองรับแรม DDR4 ขึ้นมาอย่างมากมาย ต่างกับสมัยก่อนที่ไม่มีเมนบอร์ดรองรับมากนัก และมีราคาแพง
แต่เดี๋ยวนี้กลับมีราคาไม่เกินเอื้อมซะแล้ว โดยใครคิดจะจัดสเปก Skylake ก็ซื้อแรม DDR4 ไปเลยครับ ของใหม่ย่อมดีกว่าเก่า แต่ถ้าเราเลือก CPU รุ่น Haswell อยู่ ก็จะต้องใช้แรม DDR3 ไปก่อน เพราะมันรองรับได้แค่นี้ สำหรับขนาดความจุของแรงที่ควรใช้ ให้มองที่ RAM ขนาด 8GB ไว้ก่อนเลย เพราะต่อไปจะเป็นขนาดความจุขั้นพื้นฐานของเกมหรือโปรแกรมในเร็ว ๆ นี้
เกร็ดน่ารู้
แล้ว RAM DDR3 กับ DDR4 ต่างกันอย่างไร สำหรับความต่างก็จะมีในเรื่องของการประหยัดพลังงาน และ “ความเร็ว BUS” ซึ่ง RAM DDR4 จะมีความเร็วมากกว่า DDR3 อยู่มากทีเดียว โดยความเร็ว BUS จะส่งผลในเรื่องของความเร็วในการถ่ายโอนข้อมูล กับความเร็วในการประมวลผลของ CPU ซึ่งยิ่งมากก็ยิ่งเร็วขึ้น แต่ถ้าเอาจริง ๆ แล้ว เวลาใช้งานจริงเราแทบไม่เห็นผลเลยครับ ถ้าไม่ใช้งานแบบสุด ๆ จริง ๆ
ปัจจุบัน ขนาดความจุยอดฮิตของฮาร์ดดิสก์คือ 1TB ซึ่งถ้าเป็นผมก็แนะนำให้เลือกเอาความจุระดับนี้เหมือนกัน เพราะราคาระหว่าง 1TB กับ 500GB เดี๋ยวนี้แทบไม่ห่างกันเลย เพิ่มอีกนิดก็ได้ 1TB แล้ว ส่วนจะใช้ของแบรนด์ไหนนั้น ณ ตอนนี้ก็จะมีให้เลือกระหว่าง Seagate และ WD ถ้าเอาตามเสียงส่วนใหญ่ก็ WD เนื่องจากตอนนี้ทาง WD ได้ออกฮาร์ดดิสก์ไว้หลายรุ่น และให้เราสามารถเลือกได้ตามความต้องการจริง ๆ โดยจะแบ่งในลักษณะของสี อาทิ Green, Red, Blue, Black เป็นต้น ส่วนความแตกต่าง ผมจะขอแบ่งสเปกอย่างง่าย ๆ ดังนี้
ใครคิดจะซื้อคอมพ์ประกอบ แนะนำเลยว่าควรซื้อติดไว้เป็นอย่างยิ่ง หากอยากใช้คอมพ์แบบไม่หงุดหงิด อยากใช้คอมพ์ที่มีความเร็วแบบลื่นหัวแตก แนะนำให้เอา SSD ไว้เป็นที่สำหรับลงระบบปฏิบัติการ (Windows) เลยครับ เพราะจะช่วยให้การทำงานของคอมพ์เร็วขึ้นอย่างมาก ปัจจุบัน SSD ก็มีราคาถูกลงเยอะ เช่น SSD ขนาดมาตรฐาน 128GB เริ่มต้น 1,500 บาทก็มีขายแล้ว แต่สำหรับใครที่มีงบสูงหน่อย ก็ให้ลองเอาขนาดความจุที่ 256GB ราคาก็จะแพงขึ้นอีกเท่า แลกกับทำให้ลงโปรแกรมผ่าน SSD ได้มากขึ้น เช่น โปรแกรม PhotoShop ที่ปกติจะใช้เวลาเปิดค่อนข้างนาน เวลาลงในฮาร์ดดิสก์ แต่ถ้าเอาลงใน SSD ตัวโปรแกรมก็จะรันขึ้นเร็วกว่าเดิมมาก
คำถาม “ทำไมมี SSD ที่ขนาดเท่ากัน แต่กลับมีราคาแพงกว่ามาก” พวกนั้นคือ SSD ที่มีความเร็วและความทนทานสูงเป็นพิเศษ ซึ่งบางตัวก็จะมีระดับการเชื่อมต่อที่สูงขึ้นไปอีก อย่างพอร์ต M2 กับพอร์ต PCI พวกนี้จะมีราคาค่อนข้างสูง แลกกับความเร็วในการอ่านข้อมูลที่สูงมากตามนั่นเอง แต่ถ้าระดับเริ่มต้น SSD ขนาดมาตรฐาน ราคา 1,500 ก็เร็วแล้ว
การเลือกซื้อ VGA (GPU) หรือ “การ์ดจอ” อย่างแรกควรถามตัวเองก่อนเลยว่า ชอบเล่นเกมไหม ? ถ้าไม่ชอบเลย ก็ใช้ตัวการ์ดจอออนบอร์ดจาก CPU ไปก่อนก็ได้ ซึ่งเดี๋ยวนี้ทั้ง Haswell กับ Skylake มีชิปกราฟิกที่แรงพอตัวอยู่แล้ว ในระดับการ์ดจอรุ่นล่าง ๆ เลย แต่ทั้งนี้แนะนำว่าซื้อการ์ดจอติดไว้จะดีกว่า เพื่อช่วยให้ CPU ไม่ทำงานหนักจนเกินไป ในที่นี้ผมจะแบ่งการ์ดจอไว้ 3 ระดับให้เลือกซื้อ ดังนี้
หากเราอยากได้คอมพ์ที่ใช้พิมพ์งานอย่างเดียว เกมไม่ต้อง ก็ออนบอร์ดเลยครับ แต่ถ้าอยากได้แบบเล่นเกมได้บ้าง หรือใช้ตัดต่อหรือกราฟิกได้นิดหน่อย ก็ให้กำงบไว้สัก 4,000-5,000 บาท โดยในงบนี้จะมีตัวเลือกระหว่าง GTX750TI ของ Nvidia กับ R7 360 ของ AMD ในราคาใกล้เคียงกัน ซึ่งการ์ดจอระดับนี้ สามารถใช้เล่นเกมในปัจจุบันได้ทุกเกมแล้ว (แต่คงต้องปรับภาพกราฟิกลงหน่อย) ถ้ามีงบอีกนิด ก็แนะนำพวก GTX 1050 หรือ RX 460 ที่ราคาอยู่ราว ๆ 6,000 บาท ก็ได้ แต่ถ้าชอบเล่นเกมมากกว่าทำงาน ทว่ามีงบไม่มาก ส่วนตัวขอแนะนำ 2 ตัวหลัง เพราะความแรงแรงกว่า 2 ตัวแรกอยู่โขเลยครับ
อยากได้คอมพ์ที่เล่นเกมแบบปรับสูงสุดได้ทุกเกม แต่ราคาไม่แพงจนลากเลือด ในที่นี้ก็ขอแนะนำ GTX 1060 และ RX 480 สองการ์ดจอระดับกลางยอดฮิต ส่วนทำไมสองการ์ดจอนี้ถึงได้มีความนิยมนัก นั้นก็เพราะมันมีประสิทธิภาพสูงแต่คุ้มราคามาก ๆ โดยสองตัวนี้มีราคาอยู่แค่หมื่นต้น ๆ เท่านั้น แล้วตัวไหนดีกว่าล่ะ ถ้าให้เทียบ ตัวที่ดูมีภาษีกว่าในนี้อาจจะเป็น RX 480 เนื่องจากมันมี RAM ติดมาให้ถึง 8GB ในขณะที่ตัว GTX 1060 อยู่ที่ 6GB แล้ว RAM ยิ่งสูงจะช่วยอะไรได้บ้าง ? คำตอบคือ หากมีความจุสูง ก็จะช่วยรองรับการแสดงผลที่ใหญ่ขึ้นได้ดี เช่น ใครที่คิดต่อจอ Moniter 2 – 3 จอในการ์ดตัวเดียว ก็ให้มองหาการ์ดจอที่มี RAM เยอะ ๆ ไว้เลย แต่เอาแค่จอเดียว ตัว RAM 4GB – 6GB ก็เพียงพอแล้ว (แค่ 2GB ก็ยังได้ด้วยซ้ำ) ส่วนเรื่องเล่นเกม GTX 1060 กับ RX 480 เชื่อว่าเอาอยู่ทุกเกม ณ เวลานี้แล้ว สรุปกินกันไม่ลงครับ
แนะนำว่าให้ไปสมัครเว็บ LAZADA แล้วรอโค้ดลด 1,000 บาท ที่จะคอยแจ้งในอีเมลของเรา ซึ่งถ้ามาเมื่อไร ก็ให้ไปสอย GTX960 ในราคา 5,500 บาทเลยครับ โดยจะมีของแบรนด์ Zotac ที่ราคาค่อนข้างถูก ซึ่งหากใครไม่ซีเรียสเรื่องดีไซน์ที่สวยน้อยกว่าแบรนด์อื่น ก็จัดเลยครับ
สำหรับใครที่อยากได้คอมพ์ สำหรับเล่นเกมจริง ๆ มีงบสูงในระดับหนึ่ง ก็แนะนำ GTX 1080 สุดยอดการ์ดจอที่แรงกว่า GTX Titan X อดีตการ์ดจอราคา 3 หมื่นกว่า ๆ ถึง 2 เท่า แต่ตัวนี้อยู่แค่ 2 หมื่นกลาง ๆ เท่านั้น และตอนนี้ก็ถูกเรียกว่าเป็นการ์ดจอเล่นเกมที่แรงที่สุดในโลก ทว่าหาก GTX 1080 ยังแพงไป ก็ยังมี GTX1070 ที่ราคาอยู่ราว ๆ 16,000 – 20,000 เท่านั้น แม้จะแรงน้อยกว่า แต่ก็มากพอแล้ว เพื่อเอาส่วนต่างไปลงทุนกับอุปกรณ์ชิ้นอื่น ๆ ก็นับเป็นอีกทางเลือกครับ
หาก CPU คือ สมอง, เมนบอร์ด คือ กระดูก, VGA คือ ตา ตัว PSU ก็คือ “หัวใจ” จริง ๆ ส่วนที่ควรพิจารณาเลือกอย่างที่สุดเป็นอันดับหนึ่งคือ PSU เพราะหากเลือกผิด ก็คิดผิดจนตัวตายเลยครับ ตัว PSU คือชิ้นส่วนที่ทำหน้าที่จ่ายไฟเลี้ยงไปยังชิ้นส่วนอื่น ๆ หรือุปกรณ์ต่าง ๆ ในคอมพ์พิวเตอร์ จึงเสมือนเป็นหัวใจที่คอยปั๊มเลือดไปเลี้ยงร่างกายนั่นเอง แน่นอนว่า หากเลือก PSU ไม่ดี ก็จะทำให้การจ่ายไฟเลี้ยงไม่ดีตามไปด้วย ซึ่งผลคือ “เจ๊งยกเครื่อง” สำหรับวิธีการเลือกซื้อ ก็จะมีเทคนิคอยู่ด้วยกัน 3 ข้อ ได้แก่
หลังจากจัดสเปกส่วนอื่น ๆ เสร็จแล้ว ส่วนสุดท้ายก็ต้องเป็น PSU ซึ่งเราจะต้องรู้ว่าคอมพ์ประกอบที่เรากำลังจะใช้นั้น ใช้จำนวนวัตต์ (W) มากขนาดไหน วิธีคำนวณก็ง่าย ๆ ให้ดูสามส่วนใหญ่ ๆ คือ CPU, VGA และฮาร์ดดิสก์ สามตัวนี้จะมีส่วนที่กินไฟพอสมควร อย่างแรกที่ต้องดูคือ VGA หรือการ์ดจอก่อนเลย เพราะเป็นส่วนที่บริโภคไฟมากที่สุด ซึ่งการ์ดจอสมัยใหม่จะมีช่องต่อไฟเลี้ยงแยกต่างหากเองเลย ส่วนที่คำนวณถัดมาคือ จำนวนฮาร์ดดิสก์ ถ้าใส่ลูกเดียวก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าใส่หลาย ๆ ลูก เช่น 3 ลูกขึ้นไป ก็จะต้องเล็งหา PSU กำลังสูงเหมือนกัน และสุดท้าย CPU ซึ่งปัจจุบัน แม้ในรุ่น Skylake หรือ Haswell เองก็มีการกินไฟที่น้อยลงมาก แต่ก็ไม่ควรมองข้ามอยู่ดี วิธีคำนวณคือให้ยึดเอา VGA เป็นตัวตั้ง โดยหากเป็นการ์ดจอระดับกลาง-สูง ก็ให้ดูในส่วนสเปก ตรงหัวข้อ “Power Consumption” โดยสามารถดูได้ที่เว็บไซต์ของแบรนด์นั้น ๆ เช่น ตัวอย่าง Asus R9 FURY มีเขียนในหัวข้อ Power Consumption นี้ว่า “up to 375Wadditional 8+8 pin PCIe power required” หมายความว่า การ์ดตัวนี้กินไฟในระดับ 375 วัตต์ขึ้นไปนั่นเอง ซึ่งเมื่อรวมกับส่วนของ CPU, RAM และฮาร์ดดิสก์ ก็จะกินไฟไปประมาณ 150-300 วัตต์ไปแล้ว รวมกับการ์ดจอเป็น 600 กว่าวัตต์ ดังนั้น PSU ที่ควรใช้ ต้องมีกำลังไฟระดับ 700 วัตต์ขึ้นไป เว้นระยะห่างไว้สัก 100 วัตต์ เพื่อความชัวร์
หากเป็นสเปกระดับล่างไม่สูงมากนัก เช่น ใช้ CPU Intel Pentium หรือ Core i3 ก็ให้เอา PSU กำลังสัก 450 วัตต์ก็เพียงพอแล้ว สเปกระดับกลาง-ไปสูง ก็ 600-700 วัตต์ขึ้นไป ระดับกลางในที่นี้คือ CPU : i5-i7/FX 8XXX + VGA : GTX960/R7 370 ขึ้นไป และอย่างที่ว่าไว้ ให้ดูที่ VGA เป็นหลัก หากใช้การ์ดจอระดับสูง (โดยเฉพาะการ์ดจอ AMD) ก็ต้อง 750 วัตต์ขึ้นไปถึงจะเหมาะ แต่ถ้าเอาความชัวร์ รองรับการใช้งานในอนาคต ก็เป็น 800-1,000 วัตต์ไปเลยครับ แต่อย่าลืมดูงบที่เรามีด้วย
วัตต์แท้เท่านั้น
สุดท้ายและสำคัญที่สุดสำหรับการเลือกซื้อ PSU ให้เอา ”วัตต์แท้” ไว้ก่อนเลย โดยสังเกตง่าย ๆ ให้ดูที่ราคา ซึ่งส่วนมากจะอยู่ที่หลักพันขึ้นไป และมีแบรนด์ติดชัดเจน โดยแบรนด์ดัง ๆ ในปัจจุบันก็มี Seasonic, Corsair, Super Flower, ENERMAX, XFX, ThermalTake และ Coolermaster พวกนี้จะเป็น PSU วัตต์แท้ทั้งหมด โดยข้อดีของวัตต์แท้คือ “จ่ายไฟได้เต็มตามสเปกและนิ่ง” ง่าย ๆ คือมีความเสถียรกว่า ”วัตต์เทียม” มาก สำหรับวัตต์เทียมคือ PSU ระดับล่างสุด ข้อดีคือราคาถูก แต่ข้อเสียคือความทนทานน้อย สังเกตได้ง่าย ๆ วัตต์เทียมมักจะขายอยู่ไม่เกิน 500 บาท หรือมักจะแถมมากับเคสบางตัว หรือในคอมพ์ชุดเองก็มีการใช้ PSU วัตต์เทียมเกือบทั้งหมด ซึ่งถ้าไม่ใช่รุ่นที่ใช้งานเฉพาะ อย่างเล่นเกมหรือทำงานจริง ๆ โอกาสเจอวัตต์เทียมนี้จะสูงทีเดียว
PSU วัตต์แท้บางตัว โดยเฉพาะแบรนด์ดัง ๆ จะมีติดตรารับประกันที่เรียกว่า “มาตรฐาน 80 Plus” ซึ่งจะแบ่งตามลำดับเป็น 80 Plus White, Bronze, Sliver, Gold และ Platinum เป็นต้น สำหรับมาตรฐานนี้ จะมุ่งเน้นไปที่เรื่อง “การประหยัดไฟ” ถ้าเรียกโดยรวมก็คือ ตรารับประกันคุณภาพ ซึ่งถ้า PSU มีตรานี้ติด ก็จะช่วยให้เราเลือกซื้อได้ง่ายขึ้น และมั่นใจได้ว่า PSU ตัวนี้คือวัตต์แท้แน่นอน
มี CPU, เมนบอร์ด, VGA และ PSU ที่เปรียบได้เป็นสมอง กระดูก ตา และหัวใจแล้ว ส่วนสุดท้ายก็ต้องมี “ผิวหนัง” หรือก็คือ เคส (case) นั่นเอง โครงเหล็กที่ช่วยห่อหุ้มชิ้นส่วนภายในทั้งหมด เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความเสียหายได้ง่าย ๆ สำหรับการเลือกซื้อเคส แทบจะเป็นอะไรที่เราไม่ต้องซีเรียสในการเลือกซื้อเลย เพราะต่อให้เป็นเคสราคา 300-500 บาท ก็ใช้งานได้ดีแล้ว เว้นแต่เราต้องการความสวยงาม ก็แนะนำว่าให้หาเคสที่มีราคาถูกกว่านี้จะดีกว่า ซึ่งปัจจุบัน มีผู้ผลิตชื่อดังหลายเจ้า ได้พัฒนาเคสที่มีรูปลักษณ์สวยงามล้ำสมัยกว่าเคสสมัยก่อนขึ้นมาก และที่สำคัญ มีราคาที่ไม่แพงด้วย ส่วนความแตกต่างจริง ๆ ของเคสราคาถูกกับแพง ก็จะวัดกันที่ “วัสดุกับการออกแบบ” หากเป็นเคสที่มีราคาแพงจริง ๆ พวกนี้จะมีส่วนที่เรียกว่า “ระบบระบายความร้อน” โดยมันจะมีรูระบายความร้อน กับช่องใส่พัดลมระบายหลายจุด ซึ่งส่วนนี้จะช่วยให้คอมพ์ประกอบมีอายุการใช้งานที่มากขึ้น เพราะมีการถ่ายเทความร้อนได้ดี ชิ้นส่วนไม่สะสมความร้อน จึงอยู่ได้นานนั่นเอง
ส่วนประเภทของเคส จะมีแบ่งเป็นขนาด 3 ระดับ คือ Full Tower เคสตัวใหญ่สุด สามารถยัดเมนบอร์ดขนาด XL-ATX กับ ATX ได้ มีช่องให้แต่งระบบระบายความร้อนได้มาก และมีราคาแพง ถัดมาคือ Mid Tower เป็นเคสขนาดมาตรฐานที่นิยมใช้กัน สามารถใส่เมนบอร์ดขนาด ATX กับ Mini ITX ได้ มีช่องให้แต่งระบบระบายความร้อนเพียงพอ ราคาไม่แพง แต่ก็ไม่ถูก สุดท้าย Mini Tower เป็นเคสขนาดเล็กสุด ใส่เมนบอร์ดได้เฉพาะขนาด Mini ITX เท่านั้น มีจุดให้แต่งเล่นน้อยมาก แต่ก็ใช่ว่าจะไม่เป็นที่นิยมซะทีเดียว ปัจจุบันยังมีคนชอบใช้เคส Mini Tower อยู่มากทีเดียว เนื่องจากมันประหยัดพื้นที่สำหรับวาง “คอมพ์ตั้งโต๊ะ” มากทีเดียว และมีความสวยงามในแบบของมัน ส่วนราคาก็ใช่ว่าจะถูกเสมอไป บางตัวราคาพอ ๆ กับ Full Tower เลยก็มี
หากใครเคยไปเดินงาน Commart หรืองาน TGS มาแล้ว ก็คงต้องเคยพบเห็นคอมพิวเตอร์หน้าตาแปลก ๆ วางโชว์หราชวนให้หันมองในงาน ถ้าใครไม่มีความรู้ด้านนี้ ก็อาจจะสงสัยว่า พัดลมตัวใหญ่ ๆ นั้นคืออะไร มีน้ำอะไรวิ่งอยู่ นั่นคือเคส ? อย่างที่บอกไว้ตั้งแต่แรก “การจัดสเปกคือศิลปะอย่างหนึ่ง” สังเกตที่ชิ้นส่วนคอมพ์บางตัว จะเห็นได้ว่า ยิ่งมีราคาก็ยิ่งสวย เช่น เมนบอร์ดรุ่นล่าสุด ที่พอเป็นชิปเซต Z170 ก็มีดีไซน์สวยชวนสะดุดตาขึ้นมาก เช่นเดียวกับ RAM, VGA และ PSU (ยกเว้น CPU ที่แพงแค่ไหนก็หน้าตาเหมือน ๆ กัน) จึงทำให้บางคนเกิดความรู้สึก “อยากแต่งคอมพ์” ดังนั้น ใครที่คิดจะเข้าวงการนี้ ขั้นแรกให้เตรียมงบและไอเดียรอไว้เลยครับ แต่ทางนี้ก็จะแนะนำส่วนง่าย ๆ ไว้เป็นพื้นฐานก่อน ดังนี้
ทำความเข้าใจก่อนว่า ทุกครั้งที่เราใช้งานคอมพ์ มันจะมีความร้อนเกิดขึ้นกับ CPU เสมอ เพื่อไม่ให้มันร้อนจนพัง จึงต้องมี Cooler หรือระบบระบายความร้อนติดตั้งบน CPU อย่างเลี่ยงไม่ได้ ทีนี้เรามักจะใช้พัดลมระบายความร้อนตัวเล็ก ๆ ที่แถมมากับ CPU หรือที่เรียกว่า Stock Cooler แต่พอมาเป็นยุค Intel Skylake กลับไม่มีพัดลมแถมมาให้เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ก็ถือเป็นโอกาสดีเลย สำหรับขั้นแรกของการแต่งคอมพ์คือ ใช้ Custom Cooler ระบบระบายความร้อนแบบขายแยก ซึ่งจะมีความแตกต่างกับ Stock Cooler เลย คือสวยกว่า เย็นกว่า (และแพงกว่า) ปัจจุบัน Custom Cooler แยกเป็น 2 ประเภท คือ Air Cooling ระบายความร้อนด้วยลม และ Liquid Cooling ระบายความร้อนด้วยน้ำ
เป็น Custom Cooler ที่มีลักษณะเป็นพัดลม คอยเป่าความร้อนออกจากแผงเหล็กที่เชื่อมกับ CPU อยู่ หรือที่เรียกว่า Heat Sink ซึ่งหากไม่ใช้ตัว Stock Cooler แล้ว Air Cooling ที่เป็น Custom Cooler นั้นจะมีขนาดใหญ่มาก ดูอลังการกว่าเยอะ ข้อดีคือ มีราคาถูก ติดตั้งง่าย ข้อเสียคือ กินพื้นที่พอสมควร
ระบายความร้อนด้วยน้ำ ก็จะคล้าย ๆ กับ Air Cooling ที่ต้องใช้พัดลมช่วยในการเป่าความร้อนออกในตอนท้ายเช่นเดียวกัน แต่การนำความร้อนนั้น จะใช้น้ำนำความร้อนแทน Heat Sink แล้วส่งไปยังหม้อน้ำที่มีพัดลมติดอยู่นั่นเอง แน่นอนว่า น้ำจะช่วยทำให้เกิดความเย็นได้ดียิ่งกว่า Air Cooling เสียอีก ข้อดีคือ เย็นกว่า (ถ้าเป็นรุ่น TOP สุดนะ) ประหยัดพื้นที่กว่า ส่วนข้อเสียคือ แพง
ทั้งนี้ Liquid Cooling ก็จะมีแบ่งเป็นอีก 2 ประเภท คือ ระบบน้ำปิดกับระบบน้ำเปิด หากเป็นระบบน้ำปิด ก็จะมาในรูปแบบสำเร็จรูป คือมีหม้อน้ำ มีสายลำเลียง และตัวดูดความร้อน ในสภาพพร้อมติดตั้งในชุดเดียวเลย แต่หากเป็นระบบน้ำเปิด เราก็จะต้องเดินสายหาชิ้นส่วนเอาเองทั้งหมด และมีความยุ่งยากในการติดตั้งเป็นอย่างมาก แต่ก็มีข้อดีคือ สวยอลังการสุด ๆ และให้ความเย็นได้ดีมาก ส่วนข้อเสียคือ แพงมาก ๆ
เวลาเราซื้อเคสมา มันจะมีพัดลม (FAN) ตัวเล็ก ๆ แถมมาให้ 2-3 ตัวก็ว่ากันไป ตัวพัดลมนี้จะช่วยระบายความร้อนภายในเคส ทำให้ไม่มีความร้อนสะสม ส่งผลให้อุปกรณ์ภายในมีอายุการใช้งานมากขึ้น ถือเป็นส่วนสำคัญเหมือนกัน แต่ตัวพัดลมที่แถมนี้ กลับจืดชืดไร้สีสัน ดูธรรมดาไปหน่อย ดังนั้นจึงต้องเป็นหน้าที่ของเรา ที่ต้องไปหาซื้อพัดลม LED ที่ติดไฟส่องสว่างเป็นสีต่าง ๆ มาประดับให้คอมพ์สวยขึ้นยิ่งกว่าเดิม และถ้าให้ดีเลย ควรเป็นรุ่นที่มียี่ห้อหน่อย อย่าง ThermalTake, Corsair, Cooler Master, ALSEYE, Scythe, Enermax, AeroCool เป็นต้น
การติดตั้งนั้นจะต้องคำนึงถึงตัวเคสที่เรามีอยู่ด้วย ว่าสามารถรองรับพัดลมได้กี่ตัว ได้ที่ขนาดเท่าไร ซึ่งหลัก ๆ จะมีสองขนาด คือ120MM กับ 140MM อีกส่วนที่สำคัญคือ เวลาติดตั้งจะต้องคำนึงถึง “ทิศทางลม” ด้วย ซึ่งหลัก ๆ แล้ว การติดตั้งพัดลมจะมีอยู่ด้วยกันสามจุดคือ หน้า, บน, และหลัง โดยหน้าคือดูดลมเข้า ส่วนหลังกับบนคือดูดลมออก (ตามภาพ) จึงเป็นวิธีที่ถูกต้อง เพราะจะช่วยให้ภายในเคสมีแรงลมคอยถ่ายเทความร้อนอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
สุดท้ายนี้ ก็อยากจะบอกว่า การจัดสเปกด้วยตัวเราเอง จะช่วยให้เรามีความรู้เรื่องคอมพ์ พิวเตอร์มากขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม จากข้อมูลที่ทุกคนอ่านจนจบนี้ ยังเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะต่อไปจะมีเรื่องของ “การเลือกแบรนด์ที่ใช่” ตัวอย่างเช่น การเลือกใช้ PSU แม้ว่าผมจะแนะนำการเลือกตามจำนวนกำลังวัตต์ไปก็จริง แต่ผมยังไม่ได้แนะนำว่า ควรเลือกใช้ของแบรนด์ตัวไหน จากที่ผมยกตัวอย่างไปเกือบ 10 ตัว (จริง ๆ ยังมีมากกว่านั้นอีก) ส่วนนี้คงต้องรบกวนให้ไปศึกษาเอง เนื่องจากมันเป็นเรื่องของความชอบส่วนบุคคล “แบรนด์ทุกแบรนด์ดีพอ ๆ กัน แต่ความชอบไม่เหมือนกัน” และสุดท้ายอีกข้อ หากใครที่ยังไม่เคยประกอบคอมพ์มาก่อน หรือไม่มีคนรู้จักที่ประกอบเป็น ควรให้ทางร้านเป็นคนประกอบจะดีกว่าครับ เพราะอย่างน้อย เราอาจจะได้ข้อดีเหมือนกับคอมพ์ชุด คือเสียบปลั๊กแล้วใช้ได้เลย
Rewrite จาก Cover Story จาก Comtoday ฉบับที่ 515